News & Activities
Category
อะไรอยู่ในกระป๋อง What's inside the can?
Read More
29 Jan 2020
เชื่อหรือไม่ว่า ปลาทูน่าเป็นอุตสาหกรรมระดับโลกที่มีมูลค่าถึงหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 8% ของการค้าอาหารทะเลโลก ... ประโยคเกริ่นนำพาทุกคนเข้าสู่งานแถลงข่าว “จากทะเลสู่กระป๋อง:การจัดอันดับความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ากระป๋องไทย” ของ ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการประจำประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ ห้องประชุมหลังสวน1 โรงแรมเซ็นเตอร์พ้อยท์ ชิดลม ธารา บัวคำศรี แสดงตัวเลขในปี 2556 ว่ามีการจับปลาทูน่าถึง 4.6 ล้านตัน ที่สำคัญคือปลาทูน่าคือสัตว์ทะเลที่ติด 1 ใน 5 ของอาหารทะเลที่มีคนบริโภคทั่วโลก   ทั้งนี้ปลาทูน่ามีทั้งหมด 40 สายพันธุ์  มีเพียงแค่ 5 สายพันธุ์เท่านั้นที่นิยมนำมาบริโภคกัน คือ ปลาทูน่าพันธุ์ครีบยาว  ปลาทูน่าพันธุ์ตาโต  ปลาทูน่าพันธุ์ครีบน้ำเงิน  ปลาทูน่าท้องแถบ  และปลาทูน่าพันธุ์ครีบเหลือง  ในรายงานของกรีนพีช ระบุรายละเอียดของแต่ละสายพันธุ์ไว้ดังนี้ ปลาทูน่าพันธุ์ครีบยาว (Albacore Tuna) พบในผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ ตั้งแต่ กระป๋อง  รมควัน และสด  สถานะใกล้ถูกคุกคาม  เนื่องจากจำนวนประชากรลดลงอย่างรวดเร็วและบางชนิดมีการประมงเกินขนาด ปลาทูน่าพันธุ์ตาโต (Bigeye Tuna) นิยมนำมาทำสเต็กทูน่า ซูชิ หรือซาชิมิ  แต่ปลาทูน่าตาโตขนาดเล็กสามารถนำมาทำปลากระป๋อง  สถานะอย่างเป็นทางการคือเสี่ยง และเพิ่งเข้าภาวะใกล้สูญพันธุ์ด้วยประชากรที่ลดลงและบางชนิดมีการประมงเกินขนาด ปลาทูน่าพันธุ์ครีบน้ำเงิน (Bluefin Tuna) เป็นสัญลักษณ์ของปลาทูน่าที่มีมูลค่าเชิงพาณิชย์สูงที่สุด  ปลาทูน่าสายพันธุ์นี้มีสามชนิด ได้แก่ แอตแลนติก  แปซิฟิก  และเซาเทอร์น  พบได้ในร้านอาหารญี่ปุ่นระดับหรูที่นำมาทำซาชิมิ หรือซูชิ ปัจจุบันอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์  หากแนวโน้มของสถานการณ์ยังเหมือนเดิม  เรียกได้ว่าปลาทูน่าสายพันธุ์นี้อาจต้องเผชิญกับการสูญพันธุ์เชิงพาณิชย์ในเขตแปซิฟิก   ปลาทูน่าพันธุ์ท้องแถบ (Skipjack) พบได้ในทูน่ากระป๋องและอาหารแมว  ส่วนใหญ่ติดฉลาก “light tuna” ซึ่งสายพันธุ์นี้ยังไม่มีการทำประมงในอัตราเกินขนาด  แต่หากยังดำเนินการประมงในอัตราที่มากเช่นปัจจุบัน ในอนาคตก็อาจส่งผลให้กลายเป็นประมงที่เกินขนาดได้  นอกจากนี้บางครั้งสายพันธุ์ตาโตและครีบเหลืองก็ถูกจับรวมไปกับพันธุ์ท้องแถบและถูกรวมอยู่ในทูน่ากระป๋องเดียวกัน ปลาทูน่าพันธุ์ครีบเหลือง (Yellow fin) ส่วนใหญ่นิยมนำมาทำสเต็กทูน่า ซาชิมิหรือซูชิ  แต่ก็พบทำทูน่ากระป๋อง  สถานะปัจจุบันใกล้ภาวะคุกคาม ด้วยจำนวนประชากรทั้งหมดลดลงและบางชนิดมีการประมงเกินขนาด สำหรับปลาทูน่าที่ได้รับความนิยมมาทำปลากระป๋องถึง 58% คือ ปลาทูน่าพันธุ์ท้องแถบ ถามว่า เหตุใดกรีนพีซจึงต้องทำแบบสำรวจหรือรายงานความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ากระป๋องในประเทศไทยนั้น ธารา อธิบายว่า หากดูจากตัวเลขการไหลเวียนของการค้าในอุตสาหกรรมปลาทูน่าปัจจุบัน และปริมาณการนำเข้าปลาทูน่าแช่แข็งจากประเทศต่างๆ มายังประเทศไทยมีปริมาณค่อนข้างมาก ส่งผลให้ไทยเป็นผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องเป็นลำดับต้นๆของโลก  เนื่องจากอุตสาหกรรมทูน่าขนาดใหญ่หลายแห่งตั้งอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  และบริษัทระดับโลกหลายแห่งมีฐานการผลิตอยู่ที่ประเทศไทย นอกเหนือจากรสชาติความอร่อยและกลมกล่อมของผลิตภัณฑ์ทูน่ากระป๋องที่ผู้บริโภคล้วนต้องการเมื่อเปิดฝากระป๋องออกมาแล้ว สำหรับกรีนพีซฯ อยากให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลมากกว่ารสชาติว่า อะไรอยู่ภายในกระป๋องนั้นบ้าง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์ทรัพยากรปลาทูน่าเพื่อประโยชน์ของคนรุ่นต่อไป กรีนพีซกำหนดหลักเกณฑ์การจัดอันดับหรือตรวจสอบทูน่ากระป๋อง ด้วยการส่งแบบสำรวจอย่างละเอียดไปยังผู้ผลิตและจัดจำหน่ายปลาทูน่ากระป๋องทั้งหมด 14 แบรนด์ คือ ทีซีบี  คิงส์คิทเช่น  นอติลุส ซีคราวน์  ซีเล็ค  โอเชี่ยนเวฟ  เทสโก้โลตัส แอโร่  บรูก  ท็อปส์ อะยัม บิ๊กซี  โฮมเฟรชมาร์ท  และโรซ่า   กรีนพีซได้สอบถามถึงนโยบายและการปฏิบัติในการจัดหาวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปลาทูน่า  รวมถึงเครื่องมือประมงที่ใช้ในการจับปลาทูน่าว่ามีการทำลายทรัพยากรและสิ่งมีชีวิตในทะเล  เช่น การจับฉลามเพื่อเอาครีบหรือไม่ และสามารถตรวจสอบย้อนกลับผลิตภัณฑ์ถึงแหล่งที่มาได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังสอบถามถึงความเป็นธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมของในแต่ละแบรนด์ หลายคนอาจสงสัยว่า มาตรฐานของกรีนพีซที่ว่าคืออะไร คำว่า สอบตกหรือต้องปรับปรุงหมายถึงตัวสินค้าของผลิตภัณฑ์นั้นไม่มีคุณภาพหรือไม่ ในรายงานการจัดอันดับความยั่งยืนจากทะเลสู่กระป๋องอธิบายหลักเกณฑ์ทั้ง 7 ไว้ดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับ หมายความว่า สามารถตรวจสอบย้อนกลับที่มาของปลาทูน่าตั้งแต่ในทะเลจนเข้าสู่กระป๋องและการวางจำหน่ายในชั้นวาง มีการตรวจสอบเพื่อรับประกันว่าข้อมูลถูกต้อง 2.ความยั่งยืน ต้องมีการพิจารณาทั้งสถานภาพของสายพันธุ์ปลาทูน่าที่จับได้และวิธีการจับ 3.ความถูกต้องตามกฎหมาย  คือมีการเกี่ยวข้องกับการทำประมงผิดกฎหมาย  ไม่มีการรายงานและขาดการควบคุม หรือเป็นการตรวจสอบทางบริษัทรับประกันว่าจะไม่มีการนำปลาที่จับด้วยการประมงผิดกฎหมาย ไม่มีการรายงานและขาดการควบคุมเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของตัวเอง 4.ความเป็นธรรม นี่คือหลักประกันเพื่อคุ้มครองคนงานและชุมชนในพื้นที่ และประกันให้มีการจ่ายคืนผลกำไรที่เป็นธรรมแก่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  โดยบริษัทควรจะทราบว่าใครเป็นผู้จับปลาทูน่ามาให้ แล้วพวกเขาเหล่านั้นมีการปฏิบัติอย่างไร 5.นโยบายการจัดหาแหล่งวัตถุดิบ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความยั่งยืนบริษัทควรจะมีนโยบายที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับความยั่งยืนและความเป็นธรรม โดยกำหนดหลักเกณฑ์จัดหาแหล่งวัตถุดิบ และมุ่งเป้าหมายในกรอบเวลาและหลีกเลี่ยงวิธีทำประมงแบบไม่เลือกเป้าหมายหรือทำลายล้าง 6.ความโปร่งใสและข้อมูลเพื่อผู้บริโภค โดยสนับสนุนให้ผู้บริโภคตัดสินใจอย่างมีความรู้ มีการอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าในกระป๋อง หรือให้ผู้บริโภคสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้สะดวก 7.การขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยทางบริษัทจะต้องสนับสนุนหรือลงทุนให้การพัฒนาการประมงที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้น "อัญชลี  พิพัฒนวัฒนากุล"  ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บอกถึงผลการประเมินจากแบบสอบถามและมาตรฐานทั้ง 7 ข้อ พบว่า 14 แบรนด์ที่จัดจำหน่ายในไทย มี 5 แบรนด์ที่อยู่ในเกณฑ์ปรับปรุง คือ ท็อปส์ อะยัม บิ๊กซี โฮมเฟรช มาร์ท  และโรซ่า  ส่วนแบรนด์ที่อยู่ในเกณฑ์พอใช้ได้แก่ ทีซีบี คิงส์คิทเช่น นอติลุส ซีคราวน์  ซีเล็ค โอเชี่ยนเวฟ เทสโก้โลตัส แอโร่ และบรูก  ทั้งนี้จะเห็นว่าใน 14 แบรนด์ที่กล่าวมาไม่มีแบรนด์ใดเลยที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี  หมายความว่า แต่ละแบรนด์จะต้องพยายามมากขึ้นในการดำเนินนโยบายด้านความยั่งยืน "สิ่งสำคัญแรกสุดคือขั้นตอนการดำเนินนโยบายตรวจสอบย้อนกลับของผลิตภัณฑ์ เพราะนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการปกป้องทะเลและมหาสมุทรที่จะต่อกรกับการทำประมงแบบผิดกฎหมายและทำลายล้าง  รวมถึงการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมต่อแรงงานในห่วงโซ่อุปทาน" อัญชลี ระบุว่า จากการจัดอันดับแม้ ทีซีบี ที่ได้รับคะแนนสูงสุด แต่ก็ยังไปไม่ถึงเกณฑ์ที่ดีนั้น เนื่องจาก ทำคะแนนได้มากทางด้านการตรวจสอบย้อนกลับของผลิตภัณฑ์ที่มีนโยบายแหล่งที่มา  แต่ยังต้องปรับปรุงในด้านความยั่งยืนและเป็นธรรม เนื่องจากมีการใช้ปลาทูน่าครีบเหลืองและปลาทูน่า Tonggol ซึ่งทั้งสองสายพันธุ์มีปัญหาในเรื่องจำนวนประชากรรวม   นอกจากนี้สัปดาห์ที่ผ่านมา กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังได้เปิดเผยรายงาน "การจัดอันดับโรงงานปลาทูน่ากระป๋องในอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์" ซึ่งพบว่าโรงงานปลาทูน่ากระป๋องในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียส่วนใหญ่ยังขาดมาตรฐานระดับสากลในด้านการดำเนินการอย่างรับผิดชอบ  ทั้งในด้านการตรวจสอบย้อนกลับ ความยั่งยืน และความเป็นธรรม  ฉะนั้นการขาดการตรวจสอบย้อนกลับ และความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทานทูน่าจึงเป็นปัญหาที่พบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เธอบอกว่า การส่งเสริมมาตรฐานด้านแรงงาน  และการตรวจสอบย้อนกลับที่เข้มแข็งโดยการพัฒนานโยบายจัดหาวัตถุดิบที่สาธารณะชนเข้าถึงได้และทำให้เกิดผลในทางปฏิบัติ อุตสาหกรรมทูน่ารายใหญ่เองก็มีความรับผิดชอบ จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้  ที่สำคัญผู้บริโภคเองก็มีบทบาทในการสนับสนุนและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ากระป๋องที่มีการตรวจสอบย้อนกลับความยั่งยืนและความเป็นธรรม   ดังนั้นวันนี้หากเราทุกคนร่วมด้วยช่วยกันเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบที่มาที่ไปของผลิตภัณฑ์ทูน่ากระป๋องที่ซื้อรับประทานกันอยู่ทุกวัน  เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ระบบนิเวศน์พร้อมผลักดันให้เกิดการทำประมงปลาทูน่าที่เป็นธรรมและยั่งยืน คงไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง...   ขอบคุณภาพประกอบบางส่วนจากเว็บไซต์กรีนพีซและวิกิพีเดีย และข้อมูลจาก isranews.org
เมนูสลัดทูน่ากับครีมโยเกิร์ตปาปริก้า เติมสีสันให้กับการทานสลัด
Read More
29 Jan 2020
สลัดทูน่ากับครีมโยเกิร์ตปาปริก้าสิ่งที่ต้องเตรียม ♦ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย♦ ซอสมะเขือเทศ 4 ช้อนโต๊ะ♦ มายองเนส ½ ถ้วย♦ ผงปาปริก้า ½ ช้อนชา♦ ทูน่าชนิดก้อนในน้ำมันพืช 1 กระป๋อง♦ ผักสลัดตามชอบ  วิธีทำ 1. ผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติกับซอสมะเขือเทศ มายองเนส และผงปาปริก้า คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้2. จัดเนื้อปลาทูน่า และผักสลัดลงในจาน ราดด้วยน้ำสลัด พร้อมรับประทาน   ขอบคุณแหล่งที่มาจาก cooking.kapook.com